“ไจับตา ‘ไปรษณีย์ไทย’ รุกหนักโลจิสติกส์แข่งเอกชน
ไปรษณีย์ไทย” เปิดแผนกลยุทธ์ปี53 มุ่งเน้นพัฒนาระบบไอที-ระบบปฏิบัติการ-พัฒนาบุคลากรรองรับธุรกิจใหม่ ต่อยอดธุรกิจหลักสร้างรายได้เพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้าโลจิสโพสต์ ลุยธุรกิจบริการอร่อยทั่วไทย รุกจับมือแบงก์-ประกันภัย ร่วมธุรกิจให้บริการผ่านเคาน์เตอร์บริการทั่วประเทศ เล็งตั้งโครงการขนส่งสินค้าภาคการเกษตรกระจายสินค้าทั่วภูมิภาค มั่นใจรายได้ปีหน้าเติบโต 10-15%
นายศิวะ แสงมณี ประธานกรรมการ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยกับ “TRANSPORT” ถึงยุทธศาสตร์ไปรษณีย์ไทย ว่า ภายในปี 2553 มีแนวทางที่จะปรับแผนกลยุทธ์ใหม่แบบเชิงรุกเพื่อเข้ามาสนับสนุนธุรกิจหลักจากการฝากธนาณัติและการส่งจดหมาย โดยการมุ่งเน้นพัฒนาระบบไอทีให้มีความทันสมัย รองรับแนวทางธุรกิจใหม่ด้านธุรกิจโลจิสโพสต์ หรือการขนส่งพัสดุที่มีขนาดใหญ่ ธุรกิจบริการอร่อยทั่วไทย และธุรกิจร่วมกับธนาคารพาณิชย์ผ่านเคาน์เตอร์บริการ รวมทั้งระบบปฏิบัติการและพัฒนาบุคลากร
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไปรษณีย์ไทยจะสามารถขนส่งพัสดุที่มีขนาดเล็กไม่เกิน 30 กิโลกรัม ดังนั้น การพัฒนาขั้นตอนต่อไปจะทำให้ขนส่งพัสดุที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น อาทิ รถจักยานยนต์ ตู้เย็น ขณะเดียวกันในส่วนของระบบปฏิบัติการนั้น จะมีการพัฒนารถยนต์ขนาดเล็กที่สามารถส่งของตามเส้นทางในซอยที่มีขนาดเล็กและการจราจรติดขัด เพื่อลดปัญหาการเกิดอุบัติเหตุจากการส่งของด้วยรถจักรยานยนต์ ตลอดจนลดความเสียหายของสิ่งของที่ขนส่งไปยังผู้ใช้บริการด้วย ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาระบบไอที และระบบปฏิบัติ การให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ในปีหน้าเราจะเน้นระบบไอทีและระบบปฏิบัติการเพื่อรองรับธุรกิจใหม่ๆ เพราะว่าที่ผ่านมาระบบไอที และระบบปฏิบัติการเป็นจุดอ่อนของเราทำให้ไม่สามารถทำธุรกิจใหม่ได้จากที่ยังขาดตัวซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่จะมารองรับการให้บริการ หรือรองรับธุรกิจใหม่ เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องพัฒนาระบบ ซึ่งการพัฒนาระบบไอทีมีหลายอย่าง เช่นระบบจัดการสต๊อกสินค้า RFID ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท ระบบ ERP ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท และ TRACK&TRACE ระบบติดตามและตรวจสอบสิ่งของฝากส่งทางไปรษณีย์ ซึ่งระบบนี้เป็นบริการสำหรับการติดตามและตรวจสอบสิ่งของที่มีการฝากส่งภายในประเทศไทยและระหว่างประเทศได้ จากที่ปัจจุบันใช้ระบบ EMS”
อย่างไรก็ดี ไปรษณีย์ไทยจะพัฒนาระบบไอทีทั้งหมดไปพร้อมๆ กัน ขณะที่ระบบ ERP นั้นคาดว่าจะใช้ระยะเวลาพัฒนาระบบแล้วเสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดประมาณ 1 ปีครึ่ง ส่วนงบประมาณในการพัฒนาระบบไอทีนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถที่จะระบุได้ เนื่องจากจะต้องมีการประเมินอีกครั้งว่าการปรับปรุงระบบจะใช้งบประมาณเท่าใด ซึ่งจะอยู่ในแผนงบประมาณ หากมีการดำเนินการแผนธุรกิจเสร็จเรียบร้อยจะทราบว่าต้องใช้งบลงทุนเท่าใด
“ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรก็ตามที่ไปรษณีย์ไทยทำต่อไปในอนาคต ถือว่าเป็นธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเข้ามาสนับสนุนรายได้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโลจิส โพสต์ ธุรกิจบริการอร่อยทั่วไทย และการทำธุรกิจร่วมกับธนาคารในการฝากถอนหรือระบบการชำระเงินแบบใหม่ผ่านระบบการเติมเงิน ที่เข้ามาช่องทางเคาน์เตอร์บริการ ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้เข้ามาประมาณ 200-300 ล้านบาท”
สำหรับการทำธุรกิจร่วมกับธนาคารพาณิชย์นั้นขณะนี้ไปรษณีย์อยู่ระหว่างการทดลองทำธุรกิจร่วมกับธนาคารกรุงไทย โดยธนาคารกรุงไทย มีความพร้อมเปิดให้บริการมากกว่า 20 จังหวัด แต่เมื่อเทียบกับทางไปรษณีย์ไทยแล้วมีความต้องการให้เปิดทั่วประเทศ เพราะว่าปัจจุบันไปรษณีย์ไทยมีอยู่ทั่วประเทศประมาณ 3,000 แห่ง เพราะ ฉะนั้น ถือว่าเป็นจุดแข็งในการทำธุรกิจด้านนี้เพื่อให้บริการประชาชน
ส่วนแนวทางการให้บริการประกัน ภัยผ่านเคาน์เตอร์บริการนั้น คงต้องดำเนินการขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) โดยมีแนวทางการบริการให้กับบริษัทประกันภัยทั่วไป ซึ่งเบื้องต้นจะมีการพิจารณาจากบริษัทประกันภัยที่มีความมั่นคงและความน่าเชื่อถือเพื่อไม่ก่อให้เกิดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ปัจจุบันการให้บริการทางไปรษณีย์ผ่านเคาน์เตอร์บริการเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะตามห้างสรรพสินค้า ตลาดนัดจตุจักร ไปถึงแหล่งชุมชนต่างจังหวัดทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกสบายโดยเฉพาะผู้ที่ซื้อของแล้วไม่สามารถนำกลับเองได้ ไปรษณีย์ไทยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะให้บริการด้วยความปลอดภัยส่งของถึงบ้านด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ในอนาคตนอกจากให้บริการผ่านทางเคาน์เตอร์แล้วยังมีแนวทางที่จะจัดตั้งโมบายไปรษณีย์ไทยเคลื่อนที่ไปให้มากขึ้น ซึ่งแนวทางอาจจะมีการหาพันธมิตรร่วมทุน หรือจะลงทุนเอง ขณะเดียวกันเมื่อมีจุดบริการแล้วการหาพันธมิตรร่วมทุนยังเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจต่อไปอีกด้วย
นายศิวะ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่าในปี 2553 ไปรษณีย์ไทยยังมีโครงการที่จะขนส่งสินค้าภาคการเกษตร เพื่อกระจายสินค้าไปให้ทั่วถึงทุกภูมิภาคภายในประเทศ โดยการร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อทำหน้าที่กระจายการขนส่งไปยังจุดจำหน่ายสินค้า ซึ่งขณะนี้ภาครัฐบาลมีความเห็นด้วยในการจัดตั้งโครงการดังกล่าว เหลือแต่เพียงการบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อทำแผนงานออกมาเท่านั้น โดยในเบื้องต้นจะเริ่มจากสินค้าประเภทผลไม้ พืชผักสวนครัว เป็นต้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันไปรษณีย์ไทย มีศูนย์ไปรษณีย์ที่มีลักษณะเป็นโกดังเก็บของทั่วประเทศอยู่ที่ประมาณ 11 แห่ง ที่สามารถเป็นจุดพักสินค้าได้ ดังนั้นแนวทางที่จะร่วมมือกับธุรกิจต่างๆ ที่มีความต้องการกระจายสินค้าไปต่างจังหวัด เพื่อลดต้นทุนการขนส่งโดยการหันมาใช้บริการจากไปรษณีย์ ซึ่งจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการขยายธุรกิจและถือว่าเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายย่อย ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้
สำหรับการบริหารต้นทุนนั้นขณะนี้ไปรษณีย์ไทยไม่มีนโยบายในการสรรหาซื้อที่ดินและการซื้อตึกเพิ่มเติม แต่จะต้องหันมาใช้ระบบเช่าแทน และปัจจุบันไปรษณีย์ไทยก็มีโกดังสินค้าให้เช่ามากมายจึงไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างโกดังใหม่ ดังนั้น มองว่าจุดนี้สามารถที่จะชดเชยค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายหลักไปรษณีย์ยังให้การบริการประชาชนในการส่งจดหมาย พัสดุภัณฑ์ ธนาณัติ และสิ่งพิมพ์ แม้ว่าจะมีการเตรียมแผนการดำเนินการทำธุรกิจใหม่ แต่ไปรษณีย์ยังคงมีแนวทางเพื่อไม่ให้เกิดการขัดแย้งกับธุรกิจเดิม โดยตั้งเป้ารายได้ปี 2553 เติบโต 10-15% หรือประมาณ 16,500-17,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีนี้ที่ตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 15,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีกำไรอยู่ที่ประมาณ 800-900 ล้านบาทตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น และจากการควบคุมลดต้นทุนการใช้จ่ายในการดำเนินงาน
“ต่อไปเรามองว่าเทรนด์รายได้หลักของไปรษณีย์ไทยจะมาจากการขนส่ง โดยเฉพาะธุรกิจโลจิสโพสต์และธุรกิจเคาน์เตอร์บริการ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่ร่วมกับแบงก์ ธุรกิจที่ร่วมกับประกันภัย รวมถึงการสั่งของทางไปรษณีย์ด้วย
ปัญหาและอุปสรรคของบริษัทรับจ้างขนส่ง
1) ขาดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านโลจิสติกส์อย่างแท้จริง
2) ขาดเงินทุนที่เพียงพอในการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนในระบบ Software อย่าง TMS (Transportation Management System), GPS เป็นต้น รวมไปถึงประสิทธิภาพการดำเนินการที่ไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทต่างชาติได้ เนื่องจากต้นทุนที่สูงและผลงานสู่บริษัทต่างชาติไม่ได้ ทำให้บริษัทต้องปิดกิจการไปในที่สุด
3) ภาครัฐไม่ได้ให้การสนับสนุนเท่าที่ควร ถึงแม้จะมีการออกเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพัฒนาด้านโลจิสติกส์ และมีการตั้งคณะกรรมการโล จิสติกส์แห่งชาติ หรือกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) อีกทั้งยังมีการจัดตั้งสำนักงานโลจิสติกส์การค้าของกรมการส่งเสริมการส่งออกเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีผลงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการทางด้านโลจิสติกส์และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ออกมาอย่างชัดเจน ไม่มีแผนงาน ไม่มีทั้งงบประมาณในการสนับสนุนงานด้านโลจิสติกส์ของประเทศอย่างจริงจัง
แนวทางแก้ไข
1) ต้องพัฒนาและสรรหาบุคลากรที่เข้าใจในเรื่องการบริหารจัดการโลจิสติกส์อย่างจริงจัง มาร่วมในการดำเนินงาน เพื่อนำองค์ความรู้ที่เหมาะสมมาใช้ในการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2) การลดต้นทุนค่าขนส่ง (Running Cost) ซึ่งประเทศไทยใช้วิธีการขนส่งทางถนนมากที่สุด (89% ของปริมาณขนส่งโดยรวมของประเทศ) ค่าขนส่งที่เกิดขึ้นจากการใช้รถ ได้แก่ ค่าเชื้อเพลิง ค่าบำรุงรักษา ค่ายาง เป็นต้น
ข้อเสนอแนะ
1)โดยปรับเปลี่ยนระบบการบริหารจัดการด้านขนส่งที่ใช้ขนส่งสิ่งของส่งทางไปรษณีย์ไทย โดยต้องปรับลดการปฏิบัติงานที่ซ้ำซ้อนและไม่เกิดมูลค่า โดยใช้วิธีการจัดการโครงสร้างการเชื่อมโยง เพื่อให้ระบบการขนส่งมีการประสานการทำงานกันได้ดีขึ้น โดยมีเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย เช่น GPS และสามารถเช็คเส้นทางการเครื่องย้ายของสินค้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ เช่น จัดตั้งหน่วยบริการลูกค้า Call Center ซึ่งทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นศูนย์กลางของระบบ โดยรองรับการให้บริการรับแจ้งความต้องการใช้บริการ หรือตรวจสอบสถานะของสิ่งของที่ส่ง เป็นต้น
2) จัดฝึกอบรมบุคลากรที่เข้ามาทำงานใหม่ หรือพนักงานที่ทำงานอยู่เป็นประจำในทุก ๆ ปี เพื่อให้เกิดความรู้ความสามารถ และความเข้าใจในการปฏิบัติงานที่ตรงกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
3) ในกรณีที่ต้นทุนการจัดทำระบบมีราคาสูงก็อาจจะทำการจ้าง Outsource เพื่อลดภาระความสิ้นเปลืองและค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อนลงทางด้านการใช้ระบบปฏิบัติการด้าน Logistics ที่สามารถจะขยายขอบเขตการให้บริการแก่ลูกค้าจากผู้จัดส่งสินค้ามาทำหน้าที่เป็น Outsource เพื่อให้บริการด้านไปรษณีย์แบบครบวงจรแก่ลูกค้า โดยในระยะยาวที่สามารถปรับปรุงกระบวนการทำงานทั้งระบบโดยลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อนลง ซึ่งจะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายที่ลดลง โดยการลดค่าใช้จ่ายดังกล่าวยังสามารถที่จะย้อนกลับคืนให้แก่ลูกค้าในรูปแบบของการลดราคาค่าดำเนินการในโอกาสเดียวกันด้วย เพื่อตอบสนองความต้องการในลักษณะที่ได้รับประโยชน์ร่วมกัน